น้ำยาทำความสะอาดหรือสารเคมีเป็นวัตถุดิบที่ช่วยในขั้นตอนการทำความสะอาด การเลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสมกับการทำความสะอาดก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะ
- การเลือกใช้น้ำยาที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้พื้นผิวถูกทำลายหรือเสียหาย
- ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์, สูญเปล่า / อัตราส่วนมากเกิน, น้อยไป
- การใช้ผิดวิธีหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ คำเตือน อาจจะก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้งานและคนทั่วไป
ดังนั้น การเลือกใช้น้ำยาที่ถูกต้อง ให้ได้สัดส่วนที่ถูกต้องเหมาะสมกับงานจะช่วยให้ประหยัดน้ำยาและลดต้นทุนอย่างมาก น้ำยาทำความสะอาดที่มีคุณสมบัติในการขจัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนพื้นผิว
ซึ่งสามารถแบ่งประเภทโดยดูจากค่า pH โดยค่า pH จะแบ่งตัว แบ่งค่าความเป็นนกรด ด่าง หรือกลาง





- น้ำยาที่มีค่าความเป็นกลาง
เป็นน้ำยาที่มีส่วนผสมของสารเคมีน้อย เหมาะสำหรับทำความสะอาดประจำวัน เช่นการถูพื้นประจำวัน การถูทั่วไป การขัดพื้นทั่วไป
- น้ำยาที่มีค่าความเป็นด่าง
เป็นน้ำยาที่มีความเข้มขนมากกว่าค่ากลางเล็กน้อย เหมาะกับการขัดลอกทั่วไป ลอกสิ่งสกปรกที่อยู่บนพื้นแข็ง รอยหมึกหยด การขัดพื้นทั่วไป
- น้ำยาที่มีค่าความกลด
เป็นน้ำยาที่มีความรุนแรงมากใช้สำหรับทำความสะอาดพื้นรอยลึก แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจสร้างความเสียหายให้อย่างมาก นอกจากนี้ยังอาจมีผลข้างเคียงการทำลายอื่นๆ หากใช้บ่อยเกินไป มันสามารถใช้กำจัดคราบสนิม คราบน้ำมันและรอยคราบบนโมเสค พื้นคอนกรีตหรือพื้นแข็งอื่นๆ

น้ำยาทำความสะอาด
ในน้ำยาทำความสะอาดจะมีน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเพื่อยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย โดยทั้วไปมักจะใช้กับห้องน้ำ หรือห้องซักล้าง ห้องครัว พื้นที่เก็บขยะมูลฝอย ซึ่งแบคทีเรียเจริญเติบโตได้อย่างดี น้ำยาดับกลิ่นใช้เพื่อดับกลิ่นอับไม่พึงประสงค์และสร้างอากาศที่สดชื่น โดยทั่วไปมักผสมยาฆ่าเชื้อโรคหรือยาดับกลิ่น ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อโรค กำจัดกลิ่น
การเจือจาง
โดยปกติน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ มักมีความเข้มข้นและจำเป็นต้องมีการผสมน้ำยาเพื่อเจือจาง ซึ่งเรียกว่า อัตราส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด โดยทั่วไปต้องใช้การเจือจางในน้ำสะอาด
เช่น อัตราส่วน 1:5
หมายถึง น้ำยา 1ส่วน ใส่น้ำสะอาด 5ส่วน
การเจือจางในอัตราส่วนที่ตามแนะนำจะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงต่อการใช้งาน ถ้าเจือจางมากไป อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง แต่ถ้าเจือจางน้อยไป อาจทำให้น้ำยามีความเข็มข้นและทำลายพื้นผิวได้และเป็นการสิ้นเปลือง